Pages

Thursday, October 9, 2014

คุณส้มโอที่กระทิงเขียว สรุปเรื่อง DSM ไว้ดีมากๆเลย

เด่นศรี method (DSM--DENSRI METHOD)
ที่โพสต์โดยคุณ เด่นศรี ที่โต๊ะสินธร
เคยโพสต์ครั้งตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนปรากฎว่า โดนด่าว่าบ้าเสียสติ สามปีผ่านไป คุณเด่นศรีรวยขึ้นจากการเล่นหุ้น
จากตัวเดียวปัจจุบันมีหุ้น 50 ตัว และปริมาณหุ้นมากขึ้น เงินมากขึ้น โดยอ้างว่าเป็นการเล่นหุ้นแบบฝรั่ง คือ ยิ่งลงยิ่งขาย ขึ้น กลับขายน้อย

การเล่นก็คือ วงเงินควร 200000 บาทขึ้นไป แต่ถ้าชาวเน็ต ก็คงต้อง 230000ละมังคะ เพราะค่าโบรก ถูกกว่า คือ 0.21%

ซื้อหุ้นทันที หลักการเลือกหุ้น แรกเริ่มหัดใช้ควรเล่นแบบเลือกตัวที่พื้นฐานดี มีสภาพคล่องด้วย ซื้อหุ้นทันทีไม่สนใจราคา


โดย โจทย์กำหนด ว่า


Saturday, June 7, 2014

เคล็ดวิชา DSM

1. สิ่งที่ดีที่สุด คือ สิ่งที่ง่ายที่สุด ( Basic DSM )
2. การลงทุนควรจะเป็นแบบง่ายๆ และเป็นไปอย่างอัตโนมัติ
เราแค่เหนื่อยในการคิดแผน เมื่อได้แผนแล้ว ก็แค่ทำตามแผนอย่างเคร่งครัดเท่านั้น
3. DSM จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวางแผนว่า วันรุ่งขึ้นจะต้องขายอะไร ซื้ออะไร และเมื่อไร
4. DSM ออกแบบมาสำหรับตลาดขาขึ้น
5. DSM ให้ความสำคัญกับหุ้นมากกว่าเงิน
6. DSM ไม่สนมูลค่าพอร์ตว่าเป็นเท่าไร สนแต่สะสมปริมาณหุ้นเพิ่มมากขึ้น
7. หุ้นพื้นฐานดี เน้นเพิ่มจำนวน : หุ้นปั่น เน้นเพิ่ม กสงฝ.
8. มูลค่าพอร์ตจะแสดงตัวเลขเป็นกำไร ก็ต่อเมื่อหุ้นมีการปรับตัวสูงขึ้นจากก้นอ่างแล้วเท่านั้น
9. บางครั้งรายได้จำนวนมาก อาจจะได้มาโดยบังเอิญ ไม่ใช่โดยการรีด เน้น เค้น บีบ
10. 
เขียวซื้อ แดงขาย 

35. SET DSM index คืออะไร

วิธีคิดดัชนี DSM ของพอร์ตของนักลงทุนแต่ละท่าน 

วัตถุประสงค์

1. เพื่อไม่ให้พวกเราทั้งหลายที่ทำ DSM แล้วหลงไปยึดติดกับ SET INDEX
2. เพื่อเอาไว้ดูว่าในแต่ละวันดัชนี DSM ของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

การคำนวณดัชนีหุ้นนั้นมีอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีก็มีจุดดี จุดด้อย นี่คือสาเหตุที่เราต้องมีทั้ง SET INDEX  , SET50 และ SET100
วิธีคิดแบบแรกคือ PRICE WEIGHT คิดแค่ราคาหุ้นอย่างเดียว เช่น

ตัวอย่างข้อมูลวันแรกเริ่มทำ DSM 

ITD ราคา 12.00 บาท
KEST ราคา 32.00 บาท
TPI ราคา 9.00 บาท

เราก็จับเอาราคาทั้ง 4 ตัวมาบวกกันแล้วหารด้วยจำนวนหลักทรัพย์
= ( 12 + 32 + 9 ) / 3 = 17.67   นี่คือค่าดัชนีเริ่มต้น

34. กลยุทธ์หุ้นDSM สู้ศึก XR ทำอย่างไร

การเพิ่มทุนของหุ้นในการลงทุนหุ้น DSM จะทำอย่างไรดี หัวข้อนี้ได้แรงบันดาลใจจากคุณ Minibar(หนึ่งในศิษย์เอก DSM)ได้พูดคุยใน MSN ว่าได้ไปจ่ายเงินเพิ่มทุนให้กับหุ้นตัวหนึ่งในราคาหุ้นละ 1.71 บาท(รู้หรือยังว่าหุ้นอะไร ถ้ายังติดตามต่อนะ) เลยได้เกิดข้อคิดอะไรบ้างอย่างทำให้ต้องเขียนกลยุทธ์หุ้น DSM สู้ศึก XR จะทำอย่างไรดี เพราะหลักการข้อหนึ่งของการลงทุนDSM คือไม่ควรเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปในพอร์ตอีก แล้วใช้กระแสเงินสดแฝงของหุ้นตัวเองสร้างและสะสมหุ้นให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้กระแสเงินสดแฝงมากขึ้น เหมือนเงาที่ติดตามตัว(หุ้นมากขึ้น กระแสเงินสดแฝงมากขึ้นเช่นกัน) 

เดือนแห่งความรัก เช้าวันนึ่งก่อนตลาดหุ้นเปิดเวลาประมาณ 09.36 น. ของวันที่ 3 ก.พ.48 หุ้น THL ได้ขึ้นเครื่องหมาย H ห้ามการซื้อขาย และปลด H เวลา 13.36 น. ของวันเดียวกัน ราคาเปิดของหุ้น 2.78 บาทเปิดมาก็ติดลบลงไปถึง 0.14 บาท (ราคาปิดวันที่ 2 ก.พ.48 คือ 2.92 บาท) ราคาสูงสุด 2.85 บาท ต่ำสุด 2.74 บาท ราคาปิด 2.76 บาท ได้มีคำถามว่าเกิด อะไรขึ้นตั้งแต่ เห็น H ห้ามซื้อขาย ได้รู้คำตอบว่า มีการเพิ่มทุนอย่างไม่สมเหตุผล จึงเป็นที่มาของคำถามว่า เราชาว DSMers จะทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าหุ้นมีการเพิ่มทุน(XR) และหุ้นที่เราถือประวัติ หรือผลประกอบการก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเราก็ไม่มีเงินจะซื้อหุ้นเพิ่มทุนเสียด้วย เพราะเงินมีจำกัดจะทำอย่างไรดี ยิ่งเป็นนักลงทุนหุ้น DSM เริ่มลงทุนใหม่ หรือพอร์ตเล็ก ๆ แต่ถ้ามีเงินจากกระแสเงินสดแฝงจากตัวหุ้นเองสามารถที่จะซื้อเพิ่มทุนได้ ก็ให้มองข้ามวิธีที่จะแนะนำต่อไปนี้ได้เลย 

33. กลยุทธ์หุ้น DSM สู้ศึก XD ทำอย่างไร

การลงทุนหุ้นวิธี DSM เป็นไปตามแผนที่วางมา ไม่ว่าวันนี้หุ้นจะแดง หรือว่าจะเขียว ไม่ต้องคิดคาดเดาตลาด (กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง) ในภาวะตามปกติ แต่เมื่อไรเข้าช่วงเดือนมี.ค.ถึงพ.ค. ของแต่ละปี ยอมมีเงินปันผล สำหรับบริษัทที่เงินปันผล นักลงทุนสามารถทำตามแผนอย่างไม่หวั่นไหว วันที่ต้อง ขึ้น XD หลังวัน XD เราก็ทำตามแผน แต่ว่ามันเป็นแผนที่เรารู้ว่ามันต้องราคาลดลงเท่ากับที่ได้ปันผล แต่มีการตั้งคำถามว่า ถ้าไม่อยากได้เงินปันผลจะทำอย่างไรดี โดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้

1. ไม่อยากรอรับเงินปันผลหลังจากวัน XD ไปอีก อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ 
2. เงินปันผลที่ได้รับโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 10% ของเงินปันผล ยิ่งทุนน้อยยิ่งไม่ต้องการเสียเงินส่วนนี้ 
3. หุ้นบางตัวก็มีเครดิตภาษี บางตัวก็ไม่มีเครดิตภาษี ทำให้ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการขอรับเครดิตภาษีได้อย่างเต็มที 
4. นักลงทุนบางคนไม่ต้องการได้เครดิตภาษี เพราะเสียภาษีที่ฐานภาษีสูงแล้วหรือไม่ต้องการโดนตรวจสอบอย่างละเอียดเมื่อขอรับเครดิตภาษี โดยมีเหตุผลส่วนตัวอื่นๆ 
5. เพราะต้องการรับเป็นกระแสเงินแฝงมากกว่ารับเงินปันผล 

32. DSM Double Pyramid Theory คืออะไร

คือการบริหารพอร์ตหุ้น DSM อีกแบบหนึ่งเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิ์ภาพการลงทุนให้มีขีดความสามารถสูงสุดเท่าที่จะทำได้ มีนักลงทุนหลายท่านได้ บ่นถึงว่า เวลาหุ้นเป็นขาลงทำให้มูลค่าพอร์ตลดลงอย่างรวดเร็วทำให้นักลงทุนบ้างท่านอาจไม่สบายใจกับมูลค่าพอร์ตที่ลดลง แต่จริงๆแล้วDSM ไม่สนใจมูลค่าพอร์ตแต่อย่างไร แต่ทำอย่างไรได้ เราเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอาจมีช่วงเวลานึ่งที่ไปดูแล้วเกิดอารมณ์ร่วมกับมัน ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรใส่ใจกับมัน เลยเป็นที่มาของการเล่นวิธีการลงทุนแบบ DSM Double Pyramid Theory ก็ต้องมาขยายความอีกนิดหน่อยว่าคำว่า Double ก็คือคู่ หรือ สอง ส่วน Pyramid นี้นักลงทุนทุกท่านคงน่าจะเคยเห็นรูปร่างของPyramid อยู่แล้วว่ามีฐาน กว้างและยอดของมันเล็ก เอามาประยุกต์กับการเล่นหุ้นได้ซึ่งอาจไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใดแต่ได้เอามาประยุกต์ใช้เท่านั้น 

แนวคิดการลงทุนหุ้นให้มองรูปแบบว่าเราใช้Pyramid เป็นรูปแบบการลงทุน คือเวลาลงทุนหุ้นขาขึ้นหรือซื้อหุ้น ให้ซื้อแบบ Pyramid หัวตั้ง ก็ซื้อฐานกว้าง ยิ่งขึ้นยิ่งซื้อแต่ ซื้อน้อยลงเป็นสัดส่วนกันไป 

ส่วนเวลาหุ้นขาลงหรือขายให้ขายแบบ Pyramid หัวกลับ โดยขายครั้งแรกขายปริมาณมากและขายตามสัดส่วนที่ลดลง
ถ้าลงทุนตามวิธีการนี้สามารถเพิ่มประสิทธิ์ภาพการลงทุนในDSM ได้มากสุดทั้งขาขึ้นและขาลง สามารถทำให้การลดลงของมูลค่าพอร์ตตอนหุ้นขาลง ลดลงน้อยกว่าวิธี Basic DSM อย่างมาก 

บทนี้ขอเขียนแต่แนวคิดเท่านั้น ไม่สามารถเขียนเปิดเผยวิธีการเล่นใดๆได้ เพราะอาจทำให้นักลงทุนเองสับสนกับ Basic DSM แต่ที่นำเสนอเอาไว้จะได้รู้ว่ามีวิธีการเล่นหุ้นDSM อีกหนึ่งแบบซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกหนึ่งวิธี

31. DSM Double Theory คืออะไร

อะไรคือ Double Theory ชาว DSMers บางท่านคงเคยได้ยินมาก่อน จากคุณลำชี (หนึ่งในศิษย์เอก DSM) ได้เล่าให้ฟังว่า ได้คิดค้นวิธี Double โดยบังเอิญซึ่งตอนนั้น คุณลำชีได้พยายามคิดค้นคำว่าช่องว่างของตลาดหุ้นคืออะไร และเป็นความบังเอิญในระหว่างการเทรดหุ้น DSM เกิดขึ้นตอนซื้อหุ้นกลับหลังจากขายกองหลังไป แล้วได้ค้นพบวิธีนี้โดยบังเอิญ จะเล่าสู่กันฟังว่า เป็นอย่างไร 

1. วิธีนี้เหมาะเล่นหุ้นตอน side way กับตอนหุ้นขาลงเริ่มใช้ตอนหุ้นกลับตัว (เขียวอ่อน) 
2. วิธีนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวิธี DSM กับการเก็งกำไร โดยการใช้ประโยชน์จากกองหลังที่ทิ้งเอาไว้จากวิธี DSM 
3. วิธีนี้ต้องมีเงินลงทุนอีกหนึ่งก้อนเพื่อใช้เอาไว้เล่นเก็งกำไรอย่างเดียว ซึ่งไม่เกี่ยวกับบัญชีของวิธี DSM 
4. วิธีนี้ทำให้เราเป็นนักเก็งกำไรหรือนักพนัน ซึ่งใช้ประโยชน์จากการเป็นนักลงทุนวิธี DSM 
5. วิธีนี้สามารถประยุกต์เอามาใช้กับการเล่น Day Trade 

DSM Double Theory ถือว่าเป็นการผสมผสานระหว่าง DSM กับ การเก็งกำไร ต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัวประกอบในการเก็งกำไรอีกด้วย ดังนั้นเล่าให้ฟังเบื้องต้นว่ามีวิธีการเล่นหุ้นแบบนี้อยู่ แต่จะไม่ขอลงรายละเอียดในวิธีการ เพราะไม่ต้องการให้ชาว DSMers เกิดความสับสนในระหว่างการลงทุน และต้องการให้มุ่งมั่นเป็นนักลงทุนเพื่อสร้างรายได้จากกระแสเงินสดแฝงกับเงินปันผล เพื่อร่วมกันเดินทางไปสู่อิสรภาพทางการเงิน เวลา จิตใจ พร้อมๆ กันของสมาชิกคลับเพื่ออิสรภาพทางการเงิน ของห้องสินธร จาก www.pantip.com

30. DSM Music Theory คืออะไร

กฎธรรมชาติของตลาดหุ้นนำไปสู่การเล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรี (ซึ่งมีเสียงสูง เสียงต่ำ) 

1. หุ้นตัวนึ่งไม่มีวันขึ้นตลอดไปหรือลงตลอดไป 
2. ในวันที่ตลาดขึ้นหุ้นไม่ได้ขึ้นทุกตัว และวันในวันที่ตลาดลงหุ้นไม่ได้ลงทุกตัวเช่นกัน 

นำไปสู่การเล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรี ซึ่งมีโน้ตเสียงสูง เสียงต่ำหรือราคาสูง ราคาต่ำ และมีหุ้นที่เขียว หุ้นที่แดง ของแต่ละวัน 
มีหลักการง่ายดังต่อไปนี้ 

1. เลือกหุ้นที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการเป็นจำนวน 30 ตัว ตามที่เราต้องการแต่ยังไม่ต้องซื้อที่เดียวหมดนี้แต่ให้จับตามองไว้ว่าหุ้นแต่ละตัวคือโน้ตดนตรีของเรานั้นเอง 
2. ให้เริ่มจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งก่อนหรืออาจหลายตัวก็ได้แต่เริ่มแรกควรตัวเดียวดีกว่าและควบคุมง่ายกว่าหลายตัวพร้อมกัน แต่ถ้าเก่งแล้วไม่ว่ากันที่จะเริ่มหลายตัวพร้อมกัน 
3. หลังจากที่ขายหุ้นกองหลังออกไป แล้วสามารถเอาไปลงทุนหุ้นตัวใหม่ที่อยู่ในพอร์ตที่เราสนใจว่าตัวไหนกำลังเขียวกำลังขึ้น ก็ให้เอาเงินที่ขายกองหลังไปซื้อตัวใหม่ได้เลย มีท่านอาจารย์ Coyote บอกว่าก่อนขายกองหลังหุ้นตัวนึ่งได้มองว่าจะไปซื้อหุ้นอีกตัวไว้ในใจแล้ว อย่างนี้เรียกว่าระดับ DSM ระดับ Master อีกเช่นเคย 

29. สูตร 3-0-2-8 คืออะไร

เป็นวิธีที่คิดขึ้นมากเปรียบเทียบกับกีฬาฟุตบอล(ซึ่งเป็นกีฬาโปรดของคุณเด่นศรี)ซึ่งได้แบ่งเป็นกองหลัง กองกลาง กองหน้าซึ่งแต่ละกองมีหน้าที่ต่างกันไป 

3-0-2-8 คืออะไร 

เดิมมี  1,000  หุ้น  ทิ้งกองหลังไว้  300
แล้วอาศัย  700  หุ้นที่เหลือ  สร้าง 300  ที่ปล่อยไปให้กลับคืนมา(รวมทั้งหมด1,300 หุ้น ) 
อาจมองเป็น 10,000 หุ้น ทิ้งกองหลัง 3,000 หุ้น และใช้7,000 หุ้นสร้างหุ้นขึ้นมาอีก 3,000 หุ้นเป็น 10,000 หุ้น(รวมทั้งหมด 13,000 หุ้น)แล้ว เอามาแบ่งเป็นกองกลาง 2,000 หุ้น กองหน้า 8,000 หุ้น ซึ่งวิธีนี้ต้องระดับ DSMระดับMaster ถึงจะทำได้อย่างง่ายดายก็คือคุณเด่นศรีใช้วิธีนี้อยู่ 

28. เคล็ดลับของความสำเร็จลงทุนหุ้นวิธี DSM

แบ่งได้เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้ 

1. เงินฟรี คิดว่าจะทำอย่างไรได้มันมา แต่ถ้าไม่ได้เงินฟรีก็ไม่เป็นไรทำตามวิธีการ สักวันจะรู้ว่าเงินฟรี คืออะไร 
2. “เขียวซื้อ แดงขาย” หรือ “กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง” ซึ่งเป็นคือ DenSri Indicator=DSI 
3. หุ้นเท่ากับหุ้น มองว่าหุ้นทุกตัวเป็นตัวเดียวกับหุ้นแต่ต่างกันที่ระดับราคาเท่านั้น 
4. ระบบบัญชีซึ่งสำคัญมากในการจับคู่หุ้นที่ซื้อขาย และยังสร้างฐานข้อมูล (Data Base) ซึ่งมีประโยชน์อันมหาศาลต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้โดยระยะเริ่มในสองปีแรก เป็นเพียงระยะหว่านเมล็ดพันธุ์ หลังจากนั้น ก็จะเริ่มระยะเก็บเกี่ยว ถึงจะรู้จักคำว่า “ไม่ได้สร้างรายได้จากหุ้นในปัจจุบัน แต่เป็นการสร้างรายได้จากฐานข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา” เป็นอย่างไร 
5. สูตร 3-0-2-8 
6. ธรรมชาติของตลาดหุ้นนำไปสู่การเล่นหุ้นDSM แบบโน้ตดนตรี (DSM Music Theory) ซึ่งมีโน้ตเสียงสูง เสียงต่ำหรือมีราคาที่สูง ราคาที่ต่ำ และหุ้นที่เขียว หุ้นที่แดง ซึ่งจะเขียนบทต่อไป 
7. การปฏิบัติตามแผน อย่างมีวินัยเท่ากับการลงทุน การมีจิตใจแน่วแน่ มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่คิดกำไรขาดทุน(ไม่นับเงินบนโต๊ะพนัน) พร้อมกับดึงเงินออกจากโต๊ะ(เงินสำรองและค่าบริหาร) และเล่นเกม(ตลาดหุ้น)ต่อ แล้วต้องลืมเรื่องเวลาด้วย จะได้สบายใจและปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ลองไปเรื่อย ๆ แล้วคุณจะพบวิธีการที่เหมาะสมกับตัวคุณ 

คิดได้ จดไว้ ลงมือทำ ทบทวน” “ความผิดพลาดไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือกลัวผิดพลาด” และ “ไม่ยึดติดมูลค่า แต่สนใจการเปลี่ยนแปลงมูลค่า

27. หลักการตัววัดผล DSM ทั้ง 8 ตัว

เมื่อได้ ทำการลงทุนหุ้น DSM แล้วละได้ กระแสเงินสดแฝง นำมาทำการแบ่งเป็นสัดส่วนแล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด 
ตัววัดผลการลงทุนในหุ้น DSM มีอะไร อย่างไรบ้าง ดังต่อไปนี้

1. เงินสำรองหนี้  25% ต้องเพิ่มขึ้นทุกเดือน 
2. จำนวนหุ้น ต้องเพิ่มขึ้นทุกเดือนเพิ่มทั้งปริมาณและชนิดของหุ้น
3. ปริมาณกระแสเงินสดแฝง ที่ได้รับแต่ละรอบของการซื้อคืน ต้องมากขึ้นหรืออย่างน้อยก็คงที่ 
4. ปริมาณกองหลังจะต้องลดลงเรื่อย ๆ เพราะสามารถซื้อคืนได้
5. ปริมาณอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วต้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
6. หนี้สินที่เลวต้องทยอยลดลงและหมดไป
7. แหล่งเงินทุนจะต้องเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ มีเงินลงทุนเสนอเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ 
8. เงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะปริมาณหุ้นปันผลเพิ่มขึ้น 

26. กระแสเงินสดแฝงในอนาคตคืออะไร

คำว่า “กระแสเงินสดแฝง” เกิดจากการลดค่าของทรัพย์สิน หรือขายหุ้น แล้วซื้อหุ้นให้ถูกกว่าที่ขายไป จะได้กระแสเงินสดแฝงขึ้นมาก แล้วคำว่า “กระแสเงินสดแฝงในอนาคต” นั้นคือการที่จะได้กระแสเงินสดแฝง ที่จะเกิดขึ้นภายในอนาคต หรือ ขายหุ้นตอนปัจจุบัน แล้วจะซื้อหุ้นให้ถูกกว่าที่ขายไปในอนาคต จะทำให้เกิดกระแสเงินสดแฝงภายในอนาคต จึงเป็นที่ของคำว่า “กระแสเงินแฝงในอนาคต” และเป็นการบริหารเงินให้เกิดประโยชน์จากเงินที่เป็นกองหลัง ให้มากที่สุดนั้นเอง 

จากตัวอย่างของหุ้น A ที่เป็นกองหลัง 3 กอง ที่ขายไว้ 9.00, 8.90, 8.80 บาท กองละ 1,000 หุ้น และ หุ้นได้ขึ้นไปอยู่ที่ราคา 9.75 บาท ซึ่งเป็นจุด short หุ้นจุดใหม่ รอบใหม่เพราะมีราคาสูงกว่าราคากองหลังตัวแรก ไป 15 ช่อง ดังนั้นราคากองหลัง 3 กอง ที่ทิ้งไว้ระวังหลัง เราจะทำประโยชน์สูงสุดจากกองหลังเหล่านี้อย่างไรดี ซึ่งทำให้เกิดการคิดคำนวณเอากระแสเงินสดแฝงในอนาคตมาใช้ ถ้าตามแผนของเรา สมมุตรับคืนที่ 5 ช่อง หรือกี่ช่องก็แล้วแต่แผนของแต่ละท่านของนักลงทุน DSM 
มาคำนวณกระแสเงินสดแฝงในอนาคตกันดีกว่า ขายที่ 9.00 รับกับที่ 8.75 บาท, ขายที่ 8.90 รับกับที่ 8.65 บาท, ขายที่ 8.80 รับกับที่ 8.55 บาท จะได้กระแสเงินสดแฝงในอนาคต ทั้งหมด คือ 0.25x1000x3=750 บาท(ยังไม่ได้หักค่าคอมมิชชั่น) นี้คือกระแสเงินสดแฝงในอนาคต จากกองหลังของที่เราทิ้งระวังหลังเอาไว้และสามารถนำจำนวนเงิน 750 บาท แบ่งเป็น 50% เอาไปลงทุนต่อ, 25% เอาไว้สำรอง, 25% เอาไปใช้จ่ายได้ตามสัดส่วน แล้วส่วนเงินของกองหลังที่เหลือก็เก็บเอาไว้รับหุ้นเมื่อถึงจุดที่ต้องซื้อคืน หรือเราสามารถกำหนดจุดซื้อคืน เป็น 10 , 20, หรือ 40 ช่อง ก็ย่อมได้ แล้ว ก็คำนวณกระแสเงินสดแฝงในอนาคตนำมาใช้เพื่อลงทุนต่อในปัจจุบันได้เลย และยังสามารถประยุกต์ได้อีกนิดคือทุก ๆ ครั้งที่เราขายหุ้นออกไป สามารถคำนวณกระแสเงินสดแฝงในอนาคตได้ทันที่ที่ขายหุ้นออกไปและนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยที่ยังไม่ต้องรอรับซื้อหุ้นคืนกลับมา และไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะกองหลังเท่านั้น 

แต่นักลงทุนวิธีDSM ที่เล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรี หลังจากขายกองหลังแล้ว สามารถนำไปซื้อหุ้นตัวที่กำลังเขียวอ่อนได้เลย ซึ่งการเล่นแบบนี้ไม่ต้องคำนวณหากระแสเงินสดในอนาคต ซึ่งการที่จะได้กระแสเงินสดในอนาคตนั้นต้องนักลงทุนวิธีDSM เล่นหุ้นแบบ BASIC และติดตามอ่านในการเล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรีในตอนที่DSM (30) – DSM Music Theory คืออะไร

25. กระแสเงินสดแฝงคืออะไร แบ่งรายได้อย่างไร

กระแสเงินสดแฝง (Phantom cash flow) คือการลดค่าของทรัพย์สิน (หุ้น) ที่เราถือครอง และได้ กระแสเงินสดออกมาจากทรัพย์สิน (หุ้น) โดยที่ยังถือครองทรัพย์สินนั้นอยู่ เหมือนคำกล่าวว่า “กำไรเมื่อซื้อ ไม่ใช่กำไรเมื่อขาย” เพราะการรอให้ราคาหุ้นสูงขึ้นถือว่าช้ามากและเสี่ยงมาก 

ถ้าเปรียบเทียบได้กับเรามีอสังหาริมทรัพย์(หุ้น)ให้เช่า แล้วเก็บค่าเช่าทุกเดือน(กระแสเงินสดแฝงเก็บค่าเช่าทุกวัน) โดยที่เรายังเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์(หุ้น)นั้นอยู่ จะเห็นได้ว่า อัตราความเร็วของหุ้นที่ให้เช่าสามารถเก็บค่าเช่าทุกวันย่อมได้เร็วกว่าอสังหาริมทรัพย์ที่เก็บได้ทุกเดือน ดังนั้นหุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงมากว่าอสังหาริมทรัพย์ แต่อย่างไรเราก็ไม่สามารถที่จะมีแต่หุ้นได้อย่างเดียวแล้วจะทำอย่างไรดี ถ้าเราอยากได้อสังหาริมทรัพย์ อยากมีธุรกิจต่างๆ เพื่อจะได้สร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง และสิ่งของมีค่าอื่นที่เป็นทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดแฝงได้ แต่ก็มีค่าทางด้านจิตใจและจิตวิญญาณ ดังต่อไปนี้ 

24. DSM รับประกันเงินต้นคืน100%

นักลงทุนทุกท่าน เคยได้ยินการรับประกันในแบบต่าง ๆ กันมาแล้ว อย่างพวกอสังหาริมทรัพย์ มีการประกันอัคคีภัย มีประกันแผ่นดินไหว หรือ พวกขนส่งต่าง ๆ ก็มีการประกันภัยสินค้าและอุบัติหรือ เมื่อเราไปรับประทานอาหารภัตตาคารที่มีชื่อเสียง ไม่พอใจในรสชาติของอาหารก็ยังมีประกันความพอใจ หรือไปซื้อสินค้าพวกเครื่องไฟฟ้า เสื้อผ้า ก็ยังมีการรับประกันความพอใจ แต่ทำไม นักลงทุนในหุ้นถึงไม่มีใครรับประกันคืนเงินต้น ทั้ง ๆ ที่มีแต่โบรกเกอร์ชื่อดังต่าง ๆ ออกบทวิเคราะห์ต่าง ๆ มากมายแล้ว ราคาหุ้นไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ให้ไว้กับนักลงทุนที่เป็นลูกค้าของโบรกนั้น ๆ ดังนั้นนักลงทุนหุ้นทุกท่านไม่มีโบรกไหนเลยที่จะรับประกันคืนเงินต้น แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรดี 

ถ้าอย่างนี้ไม่มีโบรกไหนกล้ารับประกันคืนเงิน แล้วเราซึ่งเป็นนักลงทุนเองทำไม ไม่รับประกันคืนเงินให้กันตัวของนักลงทุนเสียเอง ซึ่งจริง ๆ แล้วนักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะรับประกันคืนเงินให้กับตัวเองเสมอ แต่ถ้านักลงทุนบางท่านไม่สามารถรับประกันคืนเงินให้กันตนเองได้ อย่างนี้ต้องเรียกว่าเป็นนักพนัน ไม่ใช่นักลงทุน แต่จริง ๆแล้วในโลกแห่งการลงทุน มีนักพนันจำนวนมากที่คิดว่าตนเองเป็นนักลงทุน แล้วอย่างนี้เราซึ่งเป็นนักลงทุนจะทำอย่างไรถึงจะรับประกันเงินให้กันตัวเองได้ และต้องการเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดจะทำอย่างไร 

Monday, June 2, 2014

23. 10 คำถามที่ดี ย่อมได้คำตอบที่ดี


1.ทำอย่างไรจึงจะซื้อหุ้นคืนได้ทั้งหมด
ตอบ. ด้วยมิติของเวลาเป็นInfinity ไม่ต้องกลัวที่จะซื้อคืนไม่ได้ สามารถซื้อคืนได้เสมอและรอจนกว่าราคาจะต่ำกว่าที่ขาย ถ้าราคาไม่ขึ้นไม่ลงมาอาจรอการแตกพาร์ แล้วค่อยซื้อค่อย ขอให้ซื้อต่ำกว่าที่ขายเป็นใช้ได้

2. เมื่อซื้อคืนได้หมดแล้ว และหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้น จะทำอย่างไรกับหุ้นในมือ
ตอบ. ให้เอากระแสเงินสดแฝงเข้าซื้อเพิ่มหุ้น(หุ้นขึ้นได้หุ้น หุ้นลงได้เงิน) แล้วก็ปล่อยเล่นเป็นกองกลาง และกองหน้าเล่นขาขึ้นตามลำดับ โดยการขึ้นของหุ้นจะมีหุ้นตกเรียกว่าขาลงในขาขึ้น แสดงว่ามีจังหวะทำเงินตลอดเวลาอยู่ที่ว่าเกณฑ์ที่ท่านตั้งไว้เป็นอะไร

22. DSM บุญหรือบาป


มีคำกล่าวว่า “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” หรือ “ตลาดหุ้นคืนบ่อนพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย” บุคคลภายในมองตลาดหุ้นเปรียบเสมือนบ่อนการพนัน ดังนั้นมีหลายคนหลายท่านบอกว่า การเล่นหุ้นมีคนได้มีคนที่เสียเงิน ดังนั้นน่าจะเป็นบาปกรรม เพราะคนที่ได้เงินบาปมีความโลภต้องการได้เพิ่มอีก ส่วนคนที่เสียเงินก็เสียใจ เศร้าใจ และอยากจะเอาคืนอีก บางคนหาเงินด้วยวิธีสุจริต หรือต้องกู้หนี้ยืมสินเพิ่มมาเล่นหุ้นเพียงเพื่อต้องการเองเงินคืนและคาดหวังว่าจะได้กำไรอีกด้วย เรื่องอย่างนี้ก็ย่อมเป็นธรรมดาสำหรับบุคคลที่จะคิดอย่างนี้ เพราะในตลาดหุ้นมีนักเก็งกำไรหรือนักพนันจำนวนมาก เหมือนคำกล่าวที่ว่า 
การพนันไม่เคยทำให้ใครได้ดี 

21. เมื่อหุ้นเป็นเทวดาตกสวรรค์จะทำอย่างไร


การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนวิธีDSM ควรที่เลือกหุ้นออกมาจาก SET50Index หรือ SET100Index ซึ่งเป็นตัวที่เป็น BIG CAPS และจะเสนอรายชื่อหุ้นที่เป็นBIG CAPS 60 ตัว มีมูลค่าตลาดหุ้นรวมกัน 81% ถ้าหุ้นพวกนี้ขึ้น SET ก็ขึ้น ถ้าหุ้นพวกนี้ตก SET ก็ลง 

รายชื่อหุ้นมีดังต่อไปนี้ 

PTT, SCC, ADVANC, PTTEP, BBL, TOP, KBANK, SHIN, KTB, THAI, SCB, SCCC, LH, AOT, ATC, TOC, RATCH, SCIB, TMB, BANPU, ITD, EGCOMP, NPC, BAY, SSI, BEC, TRUE, PSL, BOA, TTA, CP7-11, RCL, TPIPL, DELTA, UCOM, TUF, CPF,BECL, SYNTEC, NFS, EWC, TPC, KEST, CPN, UBC, HANA, PICNI, BGH, ITV, BIGC, KK, MCOT, SATTEL, ASP, TT&T, CK, MAKRO, TISCO, TNX, AA ทั้งหมด 60 ตัว 

แล้วถ้าเราไปเลือกหุ้นผิดตัวผิดจังหวะอย่างเช่น N-PARK จะทำอย่างไรดี 

20. เปรียบเทียบวิธีการลงทุนของ VI, DSM กับอสังหาริมทรัพย์

เปรียบเทียบการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของหุ้นแบบ VI, DSM กับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นอย่างชัดเจน

VI…คือคนที่รู้ว่าทำเลทองอยู่ที่ไหน และที่สำคัญกว่าคือรู้ว่าทำเลทองที่ว่า ตอนนี้ราคาถูกมาก และเข้าไปกว้านซื้อเก็บไว้ ถ้าเกิดจะมีคนมาขอซื้อต่อแพงๆ เรา VI ก็เฉยๆ เพราะเรารู้ว่าเราจับจองทำเลทองไว้อยู่ ในอนาคตเมื่อคนอื่นๆ รู้มากขึ้น การค้าก็ไหลมาเทมา รายได้จากค่า เช่าค่าเซ้งก็จะไหลมาเทมา และราคาที่ดินก็จะขึ้นตามไปด้วยในที่สุด

DSM…คือคนที่ประมาณได้ว่าทำเลทองอยู่ที่ไหน เลือกเอาที่คนพลุกพล่านหน่อยๆ จะได้ซื้อคล่องขายคล่อง แต่อาจจะไม่รู้ว่าราคาตลาดขณะนั้นเป็นราคาที่เหมาะสมหรือยัง ก็เข้าไปกว้านซื้อที่ไว้ เสร็จแล้วก็เอามาแบ่งขายเป็น lot เล็กๆ ที่ราคาตลาด ถ้าตลาดมี Demand สูงก็โก่งราคาหน่อย ถ้าปล่อยถูกๆ แล้วยังไม่มีคนเอาก็ตั้งราคาถูกลงไปอีก แต่ที่สำคัญเมื่อปล่อยไปแล้ว ก็ค่อยๆ ทยอยซื้อคืนเมื่อ lot ที่เราปล่อยขายไปนั้น ราคาตกลงมาต่ำกว่าราคาที่เราขายไป

19. เปรียบเทียบ VI กับ DSM แบบถึงลูกถึงหุ้น


บทนี้ได้เน้นการเปรียบเทียบ VI กับ DSM เจาะลึกแบบถึงลูกถึงหุ้นโดยเปรียบเทียบเป็นข้อๆไป ดังต่อไปนี้ 

1.การมองและวิธีคิด
VI…ข่าวดีปล่อย ข่าวร้ายซื้อ เป็นการสวนกระแสแบบพิจารณารอบคอบ เพราะเข้าใจอย่างดีว่าหุ้นตก แค่เพียงราคาในตลาดตกชั่วคราว แต่ถ้าบริษัทนั้นๆ มีความสามารถในการแข่งขันเชิงยั่งยืน (ส่วนต่างกำไรดีและการหมุนเวียนสินค้าคงคลังมีสภาพคล่อง) หมายถึงเราได้ของดีราคาถูก เราหาประโยชน์จากตลาด ไม่ยอมให้อารมณ์ตลาดมาชักนำ ต่างจากคนทั่วไป ที่ดูราคาเฉพาะกราฟหุ้น เพราะราคาหุ้นที่ผันผวนส่วนใหญ่เกิดจากจินตนาการในทางผิดๆ โดยเฉพาะเน้นไปทางร้าย ไม่ใช่ปัญหาธุรกิจ
DSM… มองหุ้นที่ถือและครอบครองเสมือนเป็นทรัพย์สิน ซึ่งต้องการสร้างรายได้จากทรัพย์สินนั้นๆ โดยได้รับกระแสเงินสดแฝงเปรียบเสมือนเก็บค่าเช่าจากทรัพย์สินชิ้นนั้นๆ ต้องเริ่มจากความเข้าใจในการลงทุน จะทำให้เกิดความคิดในการลงทุนที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้การลงทุนในหุ้นตามแนวทางนี้ และก็จะได้รับผลของการลงทุนอย่างคุ้มค่า อย่างต่อเนื่องและระยะยาวตลอดไปเรื่อย ทำให้เห็นว่าหุ้นตกก็ยิ้มได้ และหุ้นขึ้นก็ยิ่งยิ้มได้ ดังนั้นยิ้มได้ทั้งสองทางไม่ว่าจะขึ้นหรือจะลง 

2.ขาขึ้น
VI…ปล่อยให้ Port โต ระยะยาว เก็บไปจนแก่ มีความสุขที่ทำได้
DSM…ปล่อยให้ Port โต ขายตามแผนที่วางไว้ได้รับกระแสเงินสดแฝงมากขึ้น มีความสุขเช่นเดียวกัน 

18. DSM ความเหมือนที่แตกต่าง


เปรียบเทียบความเหมือนที่แตกต่างกับการลงทุนชนิดอื่นๆเช่น ลงทุนระยะยาว(VI=Value Investor), ลงทุนระยะสั้นเก็งกำไร (VS=Value Speculator), ลงทุนวิธี DSM โดยเปรียบเทียบกรณีต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. ระยะเวลาการลงทุน
การลงทุนระยะยาว…ถือหุ้นระยะยาว
การลงทุนระยะสั้นเก็งกำไร…ถือหุ้นระยะสั้น
การลงทุนวิธี DSM…ถือหุ้นตลอดชีวิต

2. การเลือกหุ้น
การลงทุนระยะยาว…ดูพื้นฐานอย่างรอบคอบ
การลงทุนระยะสั้นเก็งกำไร…ดูหุ้นที่กำลังนิยมในขณะนั้นๆ
การลงทุนวิธี DSM…เลือกหุ้นที่ชอบและอยู่ได้นานในตลาดหุ้น

3. เป้าหมาย
การลงทุนระยะยาว…กำไรและเงินปันผล
การลงทุนระยะสั้นเก็งกำไร…กำไร
การลงทุนวิธี DSM…รายได้จากกระแสเงินสดแฝงและเงินปันผล

17. Q&A DSM จากใจถึงใจ

Q. สิ่งที่สำคัญที่สุดใน DSM คืออะไร
A. แนวคิดและใจ (วิธีการมาทีหลัง พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา)
แนวคิดที่สำคัญจริงๆก็คือ เราต้องการหากระแสเงินสดแฝงจากการซื้อขายหุ้นในพอร์ตของเราเอง เพื่อมาเพิ่มจำนวนหุ้นในพอร์ต มูลค่าของพอร์ตจะเป็นอย่างไรยังไม่ใช่ประเด็นหลัก

ถ้าใจโลเลของชาว DSMers แบบลูกครึ่งจะแสดงออกมาเวลาที่หุ้นขึ้น ๆ ลง ๆ แล้ว เราคาดเดาตลาด(สังเกตว่า เดาถูกเราดีใจ เดาผิดเราเสียดาย อะไรแบบนี้ เมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ ให้รีบฉุกคิดว่า ตอนนี้กำลังเดาอยู่นะ ผิดวัตถุประสงค์แล้ว) โดยเฉพาะเวลาที่หุ้นขึ้น เราอยากจะขาย ตรงจุดที่คิดว่า Peak 100% เหมือนตอนเก็งกำไร ซึ่งเราก็รู้ว่า ทำไม่เคยได้ ก็เลยอยากจะหาวิธีที่ไม่ต้องเดาตลาด จึงมาเลือกวิธีนี้ พอมาเลือกแล้ว จะเดากันอีกทำไม ถ้าอย่างนั้น ก็มาเล่นเก็งกำไรกันให้สนุกสนานเหมือนเดิม แล้วก็ร้องไห้ขายหมู ซื้องูกันต่อไปดีกว่าไหม

ดังนั้น DSMer พันธุ์แท้ ต้องไม่เดาตลาดและไม่สนมูลค่าพอร์ต ถึงราคาขายต้องขายตาม Step ถึงราคาซื้อ ต้องซื้อตาม Step ระยะยาวแล้วเห็นผลเอง มองให้เป็นการลงทุนระยะยาว ๆ

16. DSM 7 ข้อ ดั่งแก้วสารพัดนึก

ดั่งแก้วสารพัดนึกแบ่งได้เป็นข้อ ๆ ดังนี้ 

1. DSMers ต้องเข้าใจว่า เป้าหมายของเราคือ การเก็บสะสมหุ้นให้ได้มากขึ้น โดยไม่ต้องใช้เงินเพิ่ม 

2. DSMers ต้องไม่สนใจมูลค่าพอร์ตหุ้นไม่ว่าจะมีมูลค่าเพิ่มหรือลดลง 

3. DSMers สนใจแต่กระแสเงินสดแฝงเพราะกระแสเงินสดแฝง คือรายได้ ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งการเพิ่มจำนวนหุ้น การเร่งเพิ่มกระแสเงินสดแฝง โดยยังไม่เข้าใจดีพอ เป็นอันตรายพอควร เช่น การใช้ กระแสเงินสดแฝงในอนาคตนั้น ปลอดภัยดีจริง แต่หากยังไม่ชำนาญอาจพอร์ตชอร์ตได้ จุดสำคัญที่สุดของการขยายพอร์ตคือ ต้องไม่เกิดกระแสเงินสดชอร์ต เมื่อใดก็ตามที่ท่านเพิ่มเงินเพราะภาวะเงินชอร์ต ท่านกำลังเข้าสู่การสูญเสียการควบคุมบัญชีของท่าน เหมือนกับการลงทุนขาดทุนแล้วเอาเงินลงไปอีกหรือเหมือนซื้อหุ้นเฉลี่ยขาลงซึ่งไม่ควรทำที่สุดอย่างหนึ่ง 

Sunday, May 25, 2014

15. สิ่งที่ควรคิดเมื่อรักจะเป็น DSMers


นักลงทุนหุ้นวิธี DSM จะเรียกตัวเองว่าเป็น DSMers 

1. DSMers ต้องมีเป้าหมายชีวิต อย่างน้อยที่สุด เราควรจะรู้ว่า ความฝันของเราคืออะไร แล้วมันเกี่ยวข้องกับการลงทุนแบบไหน อย่างไร ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ ๆเข้าไว้ หาความสัมพันธ์ระหว่างความฝันกับการลงทุนให้เจอ แล้วพยายามไปให้ถึง

2. ศึกษาวิธี DSM ให้ถ่องแท้ แล้วค่อยๆทดลองปรับใช้จนลงตัว แล้วกำหนดมันเป็นแผนการอันนำไปสู่เป้าหมายชีวิตที่กำหนดไว้ หรือความฝันที่ตั้งใจ DSM เป็นเพียงวิธีการหนึ่งของการลงทุน การลงทุนที่แท้จริงคือแผนการที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายชีวิตอย่างเป็นรูปธรรมนั่นเอง

3. ใช้เงินทำงานให้เรา ไม่ใช่ใช้ตัวเราทำงานเพื่อเงิน ในDSM ตัวเงินไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจแต่เรามองรายได้ที่เกิดขึ้น มองจำนวนหุ้นเพิ่มมากขึ้น ควรมีหักค่าบริหารพอร์ตออกมาทุกระยะเป็นค่าใช้จ่ายด้วยเพื่อเป็นกำลังใจในการลงทุน กำไรไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจเลย เราต้องการหารายได้จากพอร์ตการลงทุนของเรา 

เงินค่าของมันเป็นเพียงสื่อกลางแลกเปลี่ยนสินค้า ตัวมันเองผลิตตัวมันเองไม่ได้ สิ่งที่ผลิตเงินได้ คือ พอร์ตของเราต่างหาก กระแสเงินสดแฝงที่เกิดขึ้น ควรนำมาขยายพอร์ตการลงทุนหลังจากหักค่าบริหารพอร์ตแล้ว ใช้เงินซื้อหลักทรัพย์ที่ดี แล้ววันหนึ่งมันก็จะกลายเป็นสินทรัพย์อย่างถาวรที่ผลิตเงินให้เราเปรียบเสมือนตู้ATM ที่กดเอาเงินจากตลาดหลักทรัพย์ไม่มีวันหมด ตราบนานเท่านานที่ตลาดหลักทรัพย์ยังไม่ปิดทำการอย่างถาวร หรือพังทลายไปเสียก่อน

14. หุ้นขึ้นได้หุ้น หุ้นลงได้เงิน


นักลงทุนหุ้นวิธีDSM เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ...การเล่นหุ้นทั้งขาลงและขาขึ้น...หุ้นขึ้นได้เงิน หุ้นลงได้หุ้น... เป็นคำกล่าวที่เสี่ยงอย่างมาก ๆ ที่จริงแล้วต้องเป็น “หุ้นขึ้นได้หุ้น หุ้นลงได้เงิน” 

เป็นอย่างไร ทำไมต้องพูดว่า “หุ้นขึ้นได้หุ้น หุ้นลงได้เงิน” เพราะเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น เสมือนทำกิจการให้เช่าหุ้น ดังนั้นหลักการคิดคือ กิจการที่เราทำอยู่กำลังดี กำลังเติบโต เราต้องเพิ่มการลงทุน หรือ ขยายกิจการออกไป แต่ถ้า เมื่อไรที่กิจการกำลังก้ำกึ่งระหว่างจะดีหรือไม่ดีไม่ควรเพิ่มการลงทุนหรือขยายกิจการเป็นอันขาด 

ต้องแยกคำ “ซื้อหุ้นคืน” กับ “ซื้อหุ้นเพิ่ม”(เงินจากกระแสเงินสดแฝง) เมื่อเราทำตามแผนการที่วางไว้ ของการลงทุนด้วยวิธี DSM เมื่อหุ้นเป็นขาลงเริ่มแดง ขายออกทุก 2 ช่อง ช่องละ10% ไปเรื่อย ๆ จะจนกว่าหุ้นเริ่มขึ้นจะซื้อคืนเมื่อหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดมา 4 ช่อง ค่อยเข้าซื้ออันนี้หมายถึงการ “ซื้อหุ้นคืน” แต่เมื่อไรที่จะซื้อหุ้นเพิ่ม คือการเอาเงินจากกระแสเงินสดแฝงมาซื้อหุ้นเพิ่มเติม แต่อย่าลืมนะ ต้องซื้อหุ้นตัวที่เหลือน้อย หมายความว่าหุ้นตัวนี้ขายดี หรือขึ้นมามาก เปรียบเทียบได้กับเป็นกิจการที่ดี กำลังเจริญเติบโต ต้องมีการขยายงาน ถึงจะเริ่มมีการ “ซื้อหุ้นเพิ่ม”จากเงินกระแสเงินสดแฝง ถ้าให้ดีการซื้อหุ้นเพิ่มต้องซื้อหุ้นอย่างน้อย 1,000 หุ้น หรือ อย่างน้อย200,000 บาท ซึ่งซื้อแล้วสามารถทำงานได้ทันทีจากหุ้นที่ซื้อเพิ่มขึ้นมา 
ถ้านักลงทุนต้องการซื้อหุ้นเพิ่มโดยที่ยังไม่ได้เหลือหุ้น 10-20% จากของเดิมตัวนั้นๆ เพราะคิดว่า เป็นหุ้นที่ดี กลัวจะเสียโอกาสในการเพิ่มหุ้นกลับดังนั้นแล้วเมื่อไร ถึงจะ “ซื้อหุ้นเพิ่ม” ที่ใช้เงินจากกระแสเงินสดแฝงซื้อ มาถึงตอนนี้ทุกท่าน ต้องสร้างหลักการในการซื้อหุ้นเพิ่มอย่างไรดี 

13. ช่องว่างและการแปลงร่างคืออะไร

การแปลงร่าง จะแปลงไปเป็นหุ้นกลุ่มใดตัวใดก็ได้ ขอเพียงให้มีราคาต่ำกว่าและอยู่ในช่อง Spread หุ้นเดียวกัน และเงินที่เหลือจากการแปลงร่าง ให้ถือว่าเป็นกระแสเงินสดแฝงแต่มันเป็นกระแสเงินสดแฝงเทียม ซึ่งไม่ควรแปลงร่างมากเกินไปโดยไม่จำเป็น 

การแปลงร่างใช้กับหุ้นขาขึ้นเท่านั้น ถ้าหุ้นขาลงจะไม่แปลงร่าง(ยกเว้นกรณีที่ต้องการเปลี่ยนตัวเพราะต้องการไล่หุ้นตัวเดิมออกจากพอร์ต) ปกติแล้วจะใช้การแปลงร่างเมื่อ หุ้นตัวนั้นเหลือในมือแค่ 10-20% 

การแปลงร่างมี 2 แบบคือ แปลงร่างเป็นตัวมันเอง (ที่เหลือน้อย) กับ แปลงร่างไปเป็นหุ้นตัวอื่นๆ และหุ้นตัวอื่นๆ แปลงร่างมาเป็นตัวมัน นั่นคือการแปลงร่างอย่างสมดุลซึ่งกันและกัน 

การแปลงร่างจะไม่ใช่การเปลี่ยนตัวหุ้น แต่การแปลงร่างเป็นเหมือนการขยายการลงทุนในจังหวะที่ต้องขยาย นั่นคือ เมื่อแปลงจากหุ้น A ไปเป็นหุ้น B แล้ว เราต้องดูแลทั้ง Aและ B เราจะไม่ทิ้ง เมื่อใดที่มีจังหวะ เก็บหุ้น A คืนได้ ก็ควรเก็บกลับคืนมามันจะทำให้พอร์ตของเราค่อยๆ ขยายตัวอย่างเหมาะสม ไม่แนะนำให้แปลงร่างบ่อยเกินไป ทุกครั้งในการแปลงร่างต้องมีเหตุมีผลรองรับเสมอ และห้ามทำตามใจ อย่าเห็นกันกระแสเงินสดแฝงเทียมเพียงอย่างเดียว 

12. หลักการซื้อคืน 3 แบบ


หลักการซื้อคืนดังนี้ 3 แบบ ดังต่อไปนี้ 

1. ซื้อคืนเมื่อราคาต่ำกว่าที่ขาย ประมาณ 5 ช่อง
2. ซื้อคืนเมื่อซื้อกลับมาได้รวดเดียว 3 ราคาที่ขายไป
3. ซื้อคืนเมื่อหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดขึ้นมา 4 ช่อง ค่อยเข้าซื้อ 

สมมุติว่าคุณซื้อหุ้นราคา 10.00 บาท จำนวน 10,000 หุ้น ทีละ 10% เท่ากับ 1,000 หุ้น 

กรณีที่ 1. หมายถึงว่าได้ขายหุ้นไปหุ้นไปที่ราคา 9.90 บาท และสามารถรับหุ้นกลับได้ที่ 9.65 บาท ให้เคาะซื้อด้าน offer 

กรณีที่ 2. หมายถึงว่าได้ขายหุ้นไปตามแผนที่วางไว้ ขาย ทุก 2 ช่อง รับหุ้นกับคืนทุก 3 ช่อง เช่น ขายไปที่ 9.90, 9.80, 9.70, 9.60, 9.50 บาทแล้วราคาหุ้นมานิ่งที่ 9.55 บาท ซึ่งสามารถรับกลับได้ที่ 9.90, 9.80, 9.70 ซึ่งสามารถซื้อกลับได้ 3 ไม้ที่ขายไป 

11. ระบบการซื้อ - ขายหุ้น DSM


ระบบการซื้อ - ขายที่ดี คือส่วนสำคัญของ DSM 

เมื่อกระโจนเข้าสู่สมรภูมิหุ้น บ่อยครั้งที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้บ่อยๆ หลายๆ ครั้งที่เรามักไม่กล้าขายหุ้นเมื่อหุ้นลง จนหุ้นลงมาก ก็ยิ่งตัดใจขายลำบากยิ่งขึ้น วิธี DSM ช่วยสร้างระบบป้องกันตัวไว้อย่างแยบยล การตัดขายเพียง 10% นอกจากจะช่วยสร้างกระแสเงินสดแฝงแล้ว ยังเหมือนกับการประกันเพื่อลดความเสี่ยงของหุ้นและยังมีหุ้นที่เหลืออีก 90% ที่เราถือไว้อีกด้วย ซึ่งต้องปฏิบัติไปตามแผนการลงทุนที่วางเอาไว้และอย่าลังเล เมื่อถึงเวลาที่ต้องขาย ถึงเวลาซื้อก็ต้องซื้อ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้จริง ๆ 

ถึงต้องเน้นว่าต้องมีการวางแผนการก่อนเทรดหุ้น ว่าถ้าหุ้นลงจะทำอย่างไร ถ้าหุ้นขึ้นจะทำอย่างไร เพื่อที่จะได้จำกัดและลดอารมณ์ร่วมตามอารมณ์ตลาดหุ้น แล้วจะประสบความสำเร็จการลงทุนตามแนวทางนี้ได้ 

การลงทุนควรจะเป็นไปแบบอัตโนมัติ คือไม่ต้องใช้ความคิดเลย มันจะเป็นไปตามระบบ ตามแผน ตาม Step ของมัน ถ้าสร้างแผน สร้างระบบ มันจะทำหน้าที่แทนเรา ตัดสินใจแทนเราและแทนการใช้อารมณ์ของเรา 

ให้จำไว้ว่า ลงทุนด้วยวิธีDSM ไม่มีทุนเดิม ซื้อมาแล้วก็ให้ลบราคาซื้อออกไป และราคาขายขึ้นอยู่กับราคาในแต่ละวัน ในแต่ละเวลา ส่วนราคาซื้อคืน คือราคาที่ซื้อแล้วได้กระแสเงินสดแฝงจากราคาที่ขายไป ซึ่งเป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้ว่าขายกี่ช่อง รับคืนกี่ช่องของนักลงทุนแต่ละท่านนั้นเอง

10. Warren Buffett ลงทุนวิธี DSM ด้วยหรือไม่


“My favorite time frame for holding a stock is forever” หมายถึง“เวลาที่ผมชอบที่สุดคือเวลาที่ผมได้ถือหุ้นไว้ตลอดไป” คำประโยคนี้คือหัวใจที่ทำให้ Warren Buffett ทำกำไรจากหุ้นได้มากที่สุด นั่นคือ Warren Buffett คิดและลงทุนในแนวทางของคนรีดนมวัว และจะเลือกหุ้นที่มีอนาคตดี ชนิดที่เรียกว่า ต่อให้เขาตายไปแล้วบริษัทนั้นก็ยังคงอยู่ต่อไป เช่น โค้ก ยิลเล๊ต และกอดหุ้นเหล่านั้นไว้ตลอดไป ซึ่งเป็นแนวคิดเช่นเดียวกับ DSM ถึงแม้ว่าวิธีการจะแตกต่างกันแต่จุดมุ่งหมายเป็นไปตามแนวทางเดียวกันและที่สำคัญวิธีDSM น่าจะประสบความสำเร็จได้เร็วกว่าวิธีการของ Warren Buffett ที่ทำไว้ได้หรือไม่ คงต้องรอให้ได้รับการพิสูจน์กันต่อไปในอนาคตเหมือนคำกล่าวที่ว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” ดังนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี เป็นเครื่องพิสูจน์วิธีDSM ทำให้มีคำกล่าวโดยเฉพาะว่า“My favorite time frame for trading on DSM is forever” สำหรับชาวDSMer ทุกท่าน

จะใช้ DSM ให้ประสบความสำเร็จ ต้องลืมเรื่องเวลา ต้องลืมเรื่องกำไรขาดทุน นักเล่นหุ้นที่มีราคาหุ้นติดสูงอยู่ ลองถามตัวเองสักนิดว่า กังวลใจเพราะอะไร เพราะราคาหรือเวลา ถ้าซื้อหุ้นแล้วรีบร้อนอยากขาย ขายถูกขายแพงก็เป็นทุกข์ ดังนั้นถ้าตั้งใจจะลงทุนตามแนวทาง DSM แล้วห้ามเลิกกลางคันเป็นอันขาด และต้องลงทุนตลอดชีวิตหรือว่าลงทุนระยะยาว ๆ มาก ต้องเลือกหุ้นที่อยู่กับเราไปจนวันตายเมื่อดังที่ Warren Buffett ได้ทำการเลือกหุ้นแล้วอยู่กับหุ้นตัวไหนตลอดชีวิต

9. DSM วัวเนื้อหรือวัวนม


เปรียบเทียบแนวคิดของ DSM กับการขุนวัวเนื้อและรีดนมวัว 

DSM ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ทำแล้วจะรวยทันที แต่เป็นกระบวนการที่ทำให้คุณไปถึงอิสรภาพทางการเงินในระยะเวลาที่คุณกำหนดได้ โดยในระหว่างเดินทางในเส้นทางนี้ ร่างกายและจิตใจของคุณจะสดชื่นเบิกบาน เปรียบเสมือนมีอิสรภาพทางเวลา และ จิตใจ ไปพร้อมกับการมีอิสรภาพทางการเงิน 

การซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไร ก็เหมือนการขุนวัวเนื้อให้อ้วนแล้วก็จับไปชำแหละ(ฆ่า) ส่วนการเก็บหุ้นปันผลไว้ก็เหมือนกับการเลี้ยงวัวนมเพื่อรีดนมวัว 

8. กลยุทธ์เมื่อหุ้นลง


ซื้อหุ้นแล้ว ไม่มีใครรับประกันได้ว่าราคาหุ้นจะขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีกลยุทธ์เพื่อรับมือในเวลาหุ้นลง

สมมุติว่าคุณซื้อหุ้นราคา 10.00 บาท จำนวน 10,000 หุ้น

บนหน้าจอจะเป็นแบบนี้

Vol.           Bid     Offer    Vol. 
100,000    9.95   10.00    50,000

จำไว้ว่า ขายที่ Bid ซื้อที่ Offer อย่าไปเสียเวลาต่อรองราคาเหมือนเดินเป็นอันขาด
วิธีคือ ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่าที่ซื้อ 2 ช่อง ให้ขาย 10% (คงพอจะได้คำตอบแล้วนะว่า ทำไมขายครั้งแรกต้อง 2 ช่อง เพราะจะได้รู้ว่าหุ้นลงจริง ไม่ได้ลงหลอกๆ จะได้ไม่เสียหุ้นง่ายเกินไป) และอย่ากลัวการขายเมื่อหุ้นลง (แดง) อย่ากลัวว่าจะซื้อหุ้นคืนไม่ได้เพราะว่าอย่างไรก็สามารถซื้อหุ้นคืนได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ด้วยแผนการลงทุนที่ทำเอาไว้ 

7. เริ่มต้นลงทุนวิธี DSM


เมื่อเลือกหุ้นที่จะลงทุนในแบบ DSM ได้แล้ว คราวนี้ก็มาถึงเวลาเข้าซื้อหุ้น 

กฎการลงทุนหุ้นวิธี DSM 

1. ซื้อให้ถูกกว่าขาย
2. เวลาไม่จำกัดในการซื้อคืน (มิติของเวลาเป็นInfinity) 

ตอนเริ่มต้นถ้าสามารถซื้อหุ้นได้ราคาที่ต่ำ แล้วหุ้นขึ้นยอมมีกำลังใจในการลงทุนหุ้นDSMได้มาก แล้วจะทำอย่างไร โดยการเขียวซื้อ แดงขาย หรือ กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง (DenSri Indicator=DSI) ซึ่งวิธีง่ายๆ แบบนี้เมื่อซื้อหุ้นแล้วหุ้นขึ้น (กอดหุ้นวิ่ง) แต่ถ้าหุ้นลงก็ทำตามวิธี DSM ที่มีวิธีรับมือกับขาลง (ทิ้งหุ้นแดง) ดังนั้นการเข้าซื้อในจังหวะที่เหมาะสมก็มีความสำคัญมากแต่ก็ไม่ได้จำเป็นต้องซื้อได้ต่ำที่สุดของราคาเช่นกัน (เพราะไม่มีใครซื้อได้จุดต่ำสุด และขายได้จุดสูงสุดของราคาหุ้นได้)
จะรู้ได้อย่างไรว่า เวลาไหนควรซื้อ

6. การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนวิธี DSM


คุณสมบัติของหุ้นที่จะเลือกลงทุนด้วยวิธี DSM

1. ต้องเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผล โดยดูจากประวัติย้อนหลังของบริษัทหลาย ๆ ปี 

2. ต้องเป็นหุ้นที่มีคนนิยม และมีจำนวนหุ้นซื้อขายในตลาดมากพอสมควร เพราะเราจะสร้างหุ้นเพิ่มจากส่วนต่างของราคา จากการแกว่งตัวของราคาจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นตัวนั้นเป็นที่นิยม ให้ดูมูลค่าการซื้อขายมาก แสดงว่าหุ้นตัวนั้นได้รับความนิยมมาก

3. ต้องเป็นหุ้นแก่นหลักของเศรษฐกิจของประเทศ ประเภทว่าถ้าหุ้นตัวนี้แย่หรือล้มหายจากตลาด หุ้นตัวอื่นๆก็คงโดนฝังหรือออกจากตลาดไปก่อนหน้านี้แล้ว

4. ต้องเป็นบริษัทที่คุณอยากร่วมเป็นเจ้าของกิจการ

การที่จะหาหุ้นที่มีคุณสมบัติครบทั้ง 4 ประการ สำหรับแต่ละคน อาจจะเป็นเรื่องยาก คุณจึงต้องยอมตัดคุณสมบัติบางประการออกไปบ้าง เช่น

5. ฉันเป็นนักลงทุนประเภทไหน


บรรดาผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในตลาดหลักทรัพย์แบ่งได้ 2 ประเภท

1. นักลงทุน
2. นักเก็งกำไร 

ลองถามตัวเองก่อนว่า ฉันเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร

ตลาดทุกชนิดบนโลกต้องมีคนทั้ง 2 ประเภท ถ้ามีแต่นักลงทุน ราคาหุ้นก็จะอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน ถ้ามีแต่นักลงทุนที่ลงทุนเพื่อรับเงินปันผล ข่าวที่เราได้ยินอาจจะบอกว่า วันนี้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง 0.5 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1 ล้านบาท ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติใดๆ ถ้าผมหรือคุณจะเป็นนักเก็งกำไร แต่ลงทุนวิธีDSM เน้นให้เป็นนักลงทุนที่แท้จริง

4. ทำไมเวลาต้องอย่างน้อย 2 ปี


ทำไมเวลาต้องอย่างน้อย 2 ปีด้วย 

เพราะจากผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นแบบ DSM จะได้กระแสเงินสดแฝงโดยเฉลี่ยขั้นต่ำอย่างน้อย 3% อาจได้มากกว่านี้ได้ เพราะบางเดือนได้มาก บางเดือนได้น้อยกว่านี้ 

จากสูตรคำนวณ 72 จำกันได้หรือเปล่า ถ้าเอาเลข 72 ตั้งหารด้วยจำนวน % ต่อปีผลลัพธ์จะได้เท่ากับจำนวนปีที่ทำให้เงินต้นเป็น 2 เท่า 

ผลลัพธ์จำนวนปีที่ทำให้เงินต้นเป็นสองเท่า = 72/ (3%x12) = 2 ปี ดังนี้ภายในสองปีจะได้เงินเริ่มต้นเป็นทุกสองเท่า นั้นย่อมแสดงว่า เราสามารถทำให้ได้กระแสเงินสดแฝงเท่ากับจำนวนเงินต้น จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องอยู่กับหุ้นตัวนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี และที่สำคัญตลาดหุ้นเมืองไทยสามารถทำให้คืนเงินต้นได้เร็วยิ่งขึ้นเพราะเป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง 
ดังนั้นการลงทุนไม่จำเป็นต้องรีบเร่งลงมือทำ ต้องค่อย ๆ ก้าวเดินแบบทารก และโอกาสของนักลงทุนมีอยู่ทุก ๆ วินาที ต้องมีความ “อดทนเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีเป้าหมาย” ตามที่ได้วางแผนไว้

3. คุณสมบัติของนักลงทุนวิธี DSM

คุณสมบัติของนักลงทุนผู้ที่จะใช้วิธี DSM


1. ต้องเป็นนักลงทุนระยะยาว ระยะยาวในที่นี้คือ ตลอดชีวิต เงินลงทุนนี้จะต้องเป็นเงินเก็บจากเงินที่ต้องจ่ายให้ตัวเองอย่างน้อย 10% จากรายได้แต่ละครั้งและรวมส่วนเหลือจากการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้วและเก็บมาจากรายจ่ายฟุ่มเฟือย (เช่น สุรา เบียร์ บุหรี่ การพนัน เป็นต้น) และห้ามถอนเงินนี้มาใช้เป็นอันขาด เพราะถือว่าเป็นเงินลงทุนตลอดชีวิต ถ้าจะถอนได้ตามสัดส่วนกระแสเงินสดแฝงที่ได้รับเท่านั้น และสามารถให้ทรัพย์สินเป็นมรดกให้กับลูกหลานได้ หรือจะกล่าวว่าวิธี DSM ดีถึงชั่วลูกชั่วหลานก็ไม่ผิดแต่อย่างใด
2. ต้องมีแนวคิดในการสร้างรายได้จากพอร์ต ไม่ใช่กำไรจากพอร์ต โดยที่ไม่สนใจ มูลค่าพอร์ตที่ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงและสิ่งแรกที่ต้องทำคือแยกให้ออกก่อนว่า ความแตกต่างระหว่างทำกำไรส่วนต่างกับการลงทุนเพื่อสร้างรายได้ ถ้าแยกได้แล้วจะลงทุนตามแนวทางนี้ได้สำเร็จ
3. อิสรภาพทางการเงินไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยมีเงินหลายร้อยล้านพันล้านบาท แต่หมายถึงการมีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง มีอิสระที่จะทำสิ่งที่ต้องการทำ อิสรภาพทางการเงินไม่ได้วัดที่จำนวนเงินที่มี แต่วัดกันที่ "ใครมีเวลาเพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการมากกว่ากัน"
4. ต้องมีวินัยในการลงทุน การตัดสินใจลงทุนด้วยวิธี DSM ถ้าหากเลิกกลางคัน จะเกิดความเสียหายมาก ถ้าเลิกก่อนเวลาอย่างน้อย 2 ปี
5. ต้องมีเป้าหมายในอนาคต เป้าหมายนี้ไม่ใช่เงินจำนวนเท่าใด แต่เป้าหมายที่ต้องตั้งคือ "ฉันจะต้องได้รับเงินปันผลเท่าใดจึงจะพอใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน" เพื่อจะมีอิสรภาพทางการเงินในแบบที่ต้องการ
6. จิตใจต้องหนักแน่น มั่นคง ไม่วอกแวกกับเสียงทักของนักเก็งกำไรหรือนักพนัน
7. ต้องมีเวลาดูแลพอร์ตอย่างเอาใจใส่
8. ต้องมีความสมัครใจด้วยตัวของนักลงทุนเอง ที่จะเลือกใช้แนวทางDSM นี้ซึ่งไม่มีใครสามารถบังคับได้และถ้าพร้อมแล้วหลังจากศึกษาแนวคิดเข้าใจดีแล้วให้เริ่มสร้าง Model Trade ของแต่ละนักลงทุนเองได้เลย พร้อมกับสร้างหลักการตัววัดผลของความสำเร็จของแต่ละนักลงทุนเองโดยนำเอาตัวอย่างเบื้องต้นจากบทความแห่งนี้เป็นต้นแบบ
9.การลงทุนหุ้นวิธีDSM เสี่ยงหรือไม่ แต่ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่การลงทุน แต่อยู่ที่การขาดความเข้าใจในแนวคิดของการลงทุนด้วยวิธีนี้ต่างหาก ซึ่งถ้าไม่เข้าใจถือว่าเสี่ยงมากที่สุดแทนต่างหาก แต่อย่างไรไม่มีอะไรในชีวิตที่ไม่มีความเสี่ยง แต่การลงทุนควรเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำเสมอดังนั้นการลงทุนหุ้นวิธีDSM จึงเป็นคำตอบ

2. หัวใจและแนวคิดของ DSM


หัวใจของการลงทุนหุ้น DSM คือ แผนการลงทุนและระบบบัญชี และเป้าหมายสูงสุดของการลงทุนหุ้น DSM คือ การสะสมจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นและสร้างกระแสเงินสดแฝง 

ถ้าลงทุนหุ้นตามแผนการลงทุนที่วางเอาไว้อย่างเคร่งครัดแล้วไม่ต้องสนว่าตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น(Uptrend) หรือขาลง (Downtrend) ถ้าได้ถึงระดับนี้ ท่านได้เป็นถึงระดับ Master ซึ่งได้เลื่อนขึ้นมาจากระดับ Basic แล้วนั้นเอง และเมื่อเราทำตามแผนการดีเยี่ยมนี้แล้วจะค้นพบว่าวิธีDSM ตอนเล่นหุ้นขาขึ้นได้ดีกว่าตอนเล่นหุ้นขาลง (ต้องศึกษา สูตร 3-0-2-8 อย่างละเอียดแล้วจะได้คำตอบที่ต้องการ) 

1. จุดกำเนิด DSM

ที่มาขอคำว่า DSM มาจากอะไร 

DSM ย่อมาจาก DenSri Method มาจากชื่อนักลงทุนที่ชื่อเด่นศรี เป็นคนคิดค้นวิธีการเล่นหุ้นเพื่อการลงทุนด้วยวิธี Short Against Portเป็นคนแรกที่กล้าเปิดเผยวิธีการลงทุนเช่นนี้ และคนตั้งชื่อ DSM คือนักลงทุนชื่อ คลายเครียด (Endophine) เจ้าของ คลายเครียดเรโช อันโด่งดัง ในวันที่ 6 ส.ค.2547 ได้ตั้งชื่อ DSM=DenSri Method หรืออีกความหมายหนึ่งคือ DSM= Descending Sell Method และเพื่อเป็นเกียรติแก่คุณเด่นศรีที่ได้เปิดเผยเคล็ดลับสู่อิสรภาพทางการเงิน หลังจากนั้นชื่อ DSM ได้ถูกเรียกขานจากนักลงทุนเมื่อพูดถึงแนวทางการเล่นหุ้นเพื่อลงทุนสร้างหุ้นและกระแสเงินสดแฝง 

แล้ววันที่ 18 ส.ค. 2547 คุณ MacroArt ได้ เสนอชื่อคลับว่า คลับนักเล่นหุ้นเพื่ออิสรภาพทางการเงิน ซึ่งมีความหมายถึงหนังสือ Rich Dad Poor Dad และสุดท้ายก็ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ “คลับเพื่ออิสรภาพทางการเงิน” วันที่ก่อตั้งคลับแห่งนี้วันที่ 25 ส.ค. 2547 เป็นวันแรกที่มีอยู่อย่างเป็นทางการของนักลงทุนด้วยวิธีDSM ด้วยประการนี้เอ่ย